5 คำถาม “การให้อาหารสุนัขและแมว”
เรื่องอาหารสำหรับสุนัขและแมวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอาหารนั้นเป็นส่วนสำคัญในการทำให้สุนัขและแมวเจริญเติบโตและมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องของอาหาร คราวนี้มาดูกันดีกว่าว่าน้องหมาและแมวมีพฤติกรรมการเลือกกินอาหารอย่างไรบ้าง และเราควรให้อาหารอย่างไร?
5 คำถาม “การให้อาหารสุนัขและแมว”
1.วิธีการให้อาหารสุนัขและแมวอย่างถูกต้อง ควรทำอย่างไร?
โดยธรรมชาตินั้นสุนัขสืบเชื้อสายมาจากหมาป่า ซึ่งจัดเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อ มักออกล่าเหยื่อเป็นฝูง จึงมีนิสัยหวงอาหารและชอบซ่อนเหยื่อ พฤติกรรมนี้ถูกถ่ายทอดมาสู่สุนัขในปัจจุบันด้วย ดังนั้้นวิธีการให้อาหารที่ถูกต้องสำหรับสุนัขคือ ควรตวงอาหารเป็นมื้อใหญ่ๆ 2 มื้อต่อวัน ยกเว้นลูกสุนัขอายุต่ำกว่า 5 เดือน ควรให้ 3 มื้อต่อวันเนื่องจากกระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่เต็มที่
ส่วนแมวนั้นสืบเชื้อสายมาจากแมวป่า และจัดเป็นสัตว์กินเนื้อ จึงต้องการพลังงานจากโปรตีนเป็นหลัก มีนิสัยชอบล่าเหยื่อตัวเล็กๆ หลายๆ ตัวต่อวัน และชอบกินเหยื่อสดๆ เท่านั้น ดังนั้นวิธีการให้อาหารแมวที่ถูกต้องคือ ควรตวงและตั้งอาหารเม็ดทิ้งไว้ตลอดทั้งวัน เพื่อให้เขาได้เดินมากินเป็นมื้อเล็กๆ ได้ทั้งวัน ส่วนอาหารเปียกนั้นควรแบ่งให้กินเป็นมื้อหลักๆ ไม่ควรตั้งทิ้งไว้เนื่องจากเสียได้ง่าย
เคล็ดลับ…
2.สุนัขกินอาหารของแมว และแมวกินอาหารของสุนัขได้หรือไม่?
ไม่แนะนำ เพราะร่างกายของเขาต่างกัน แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ ส่วนสุนัขเป็นสัตว์กินทั้งพืชและเนื้อ จึงมีสารอาหารที่จำเป็นที่ต้องได้รับจากอาหารแตกต่างกัน”
หากแมวกินอาหารสุนัขเป็นระยะเวลานานจะทำให้ขาดกรดอะมิโนทอรีน อาจส่งผลทำให้แมวตาบอด และระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ได้ ส่วนสุนัขถ้ากินอาหารแมวติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลทำให้อ้วนง่าย เนื่องจากสมดุลไขมันและโปรตีนที่ไม่เหมาะส
3.สุนัขและแมวมีวิธีการเลือกอาหารอย่างไร?
สุนัขและแมวมีวิธีการตัดสินความชอบของอาหาร 4 ขั้นตอนด้วยกัน
- คัดเลือก การดมเป็นขั้นแรกของการตัดสินใจ ดังนั้นกลิ่นจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินว่าจะลองกินอาหารนั้นหรือไม่
- การงับ สุนัขและแมวจะลองงับเม็ดอาหารเข้าปาก รูปแบบเม็ดและเนื้อสัมผัสจึงมีบทบาทสำคัญในการเลือกกินด้วย
- การกิน รสชาติ กลิ่น รวมทั้งเนื้อสัมผัสมีบทบาทสำคัญมากที่ช่วยทำให้เพลิดเพลินในระหว่างการกินอาหารนั้น
- หลังกิน สุนัขและแมวจะประเมินความรู้สึกหลังกินอาหาร ซึ่งมีทั้งความรู้สึกที่ดี เช่นอาการอิ่ม สบายท้อง และความรู้สึกที่ไม่ดี เช่นอาการท้องอืด แน่นท้อง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความน่ากินของสุนัขและแมวได้แก่
-
กลิ่น
-
รสชาติ
-
รูปร่างของเม็ดอาหาร
-
ขนาดของเม็ดอาหาร
เกล็ดความรู้:
“มนุษย์ เลือกกินจากรสชาติ และใช้พลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรต
สุนัข เลือกกินจากกลิ่น และใช้พลังงานหลักจากไขมัน
แมว เลือกกินจากกลิ่น และใช้พลังงานหลักจากโปรตีน”
4.การเปลี่ยนอาหารควรทำอย่างไร
สุนัขและแมวมีระบบทางเดินอาหารที่ทำงานได้ไม่ดีเท่ากับมนุษย์ เพราะมีปริมาณจุลินทรีย์ในลำไส้น้อยกว่าและมีทางเดินอาหารที่สั้นกว่า ดังนั้นจึงส่งผลให้เกิดการท้องเสียเมื่อกินอาหารชนิดใหม่ได้ง่ายกว่า
เพื่อป้องกันปัญหาท้องเสีย และเพิ่มความคุ้นเคยกับอาหารชนิดใหม่ ทุกครั้งที่เปลี่ยนอาหาร แนะนำให้ผสมอาหารชนิดใหม่ลงไปในอาหารเก่า โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน และค่อยเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นตามลำดับ ซึ่งโดยทั่วไปจะแนะนำให้ใช้เวลาในการเปลี่ยนอาหารประมาณ 7-10 วัน
วันที่ 1-2 ให้ใส่อาหารใหม่ 25%
วันที่ 3-4 ให้ใส่อาหารใหม่ 50%
วันที่ 5-6 ให้ใส่อาหารใหม่ 75%
วันที่ 7 อาหารใหม่ 100%
ข้อควรรู้: ในสุนัขและแมวบางตัวอาจเปลี่ยนอาหารได้ยาก โดยเฉพาะสุนัขและแมวที่เคยกินอาหารคนมาก่อน อาจใช้เวลาในการเปลี่ยนอาหารมากกว่า 10 วัน แนะนำให้ค่อยๆ เพิ่มอาหารใหม่ทีละน้อยเช่นเดิม
5.ซื้ออาหารถุงใหม่ แล้วสุนัขและแมวไม่กินต้องทำอย่างไร?
สุนัขและแมวบางตัวมีปัญหาการเลือกกิน และอาจไม่ยอมกินเมื่อเปลี่ยนอาหารถุงใหม่ เนื่องจากรู้สึกว่าไม่เหมือนเดิม ให้ใช้วิธีค่อยๆ ใส่อาหารใหม่ไปทีละน้อยเช่นกัน ร่วมกับการฝึกให้อาหารร่วมด้วย
วิธีฝึกให้อาหาร: วางชามอาหาร 15 นาที แล้วเก็บขึ้นทันทีโดยไม่ต้องสนใจว่าสุนัขและแมวจะกินหรือไม่ เพื่อให้เขาทราบเวลากินอาหาร และให้รู้ว่าจะต้องกินอาหาร ไม่งั้นจะอดกิน! และต้องจำกัดปริมาณขนมและไม่เอาใจจนมากเกินไปด้วยนะ
ข้อมูล: Royal canin
ภาพ: AAHA,Which.co.uk,ThoughtCo